หลังคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง King Richard พร้อมสร้างตำนาน ‘ตบรางวัล’ ของพระเอกดัง Will Smith ก็สร้างกระแสถกเถียงทั่วโลกถึงความไม่เหมาะสมต่อพฤติกรรมใช้ความรุนแรงของซุปตาร์คนดัง ถึงขั้นอออสการ์อาจยึดรางวัลคืนจากนักแสดงหนุ่ม! พร้อมวิพากย์วิจารณ์คู่กรณี นักแสดงตลก Chris Rock ที่มีการล้อเลียนถึงภรรยาของนักแสดงหนุ่มแบบ Bully อีกด้วย
ซึ่งพี่เลดี้เชื่อว่า แม้หนุ่มวิลจะโดนยึดรางวัลหรือไม่ แต่การแสดงของหนุ่มคนนี้ก็เป็นที่ประจักษ์จ่อสายตาแฟนหนังมากกว่ารางวัลเสียอีกค่ะ วันนี้เลยจะขอรวบรวมอันดับหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนุ่มวิลมาให้แฟนๆได้ลองดูกันอีกสักครั้ง เชื่อว่า จะดูอีกกี่รอบ ฝีมือของ วิล สมิธ ก็ไม่มีตกค่ะ
I Am Legend (2007)
หากพูดถึงหนังขึ้นแท่น No.1 ของป๋าวิลล์ แน่นอนค่ะว่า ภาพจำหนุ่มกู้โลก จากหนัง I Am Legend ยังคงตรึงตราตรึงใจแฟนๆอยู่เสมอ เพราะนี่คือหนังสไตล์เอาชีวิตรอดหลังจากการล่มสลายของมวลมนุษย์ชาติ เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับมนุษย์กลายพันธุ์เป็นผีดิบอาละวาดสุดดุร้าย มีเพียงเขาที่ยังเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ในเมืองใหญ่อย่างมหานครนิวยอร์ก และความมืดเป็นศัตรูตัวร้ายของเรื่องนี้ นับว่าเป็นหนังซอมบี้ที่หากมีการจัดอันดับหรือเอ่ยถึงขึ้นมาก็จะต้องมีหนังเรื่องนี้รวมอยู่ด้วย เพราะเป็นหนังที่เปิดดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ และไม่ล้าสมัยเลย แม้ว่าจะผ่านไปกว่า 10 ปีแล้วก็ตาม
โดยเฉพาะฉากที่ โรเบิร์ต เนวิลล์ ร้องไห้โดยมีแซมสุนัขตัวโปรดอยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นเขาก็เริ่มร้องเพลงเพื่อปลอบให้มันสงบลง ในขณะที่แซมหายใจอย่างรวยรินและเริ่มกลายร่างเป็นหมาซอมบี้ ทำให้เขาจำเป็นต้องจบชีวิตเพื่อนรักคู่ซี้หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ เรียกว่าเป็นฉากที่เศร้ามาก ๆ ใครที่ผูกพันธ์กับสัตว์เลี้ยง แนะนำให้ skip ฉากนี้ไปเลยค่ะ เพราะว่ามีร้องไห้แน่นอน แต่ก็จัดเป็นอีกหนึ่งผลงานทองคำที่ไม่ควรพลาดของป๋าวิลล์เช่นกันค่ะ
The Pursuit of Happyness (2006)
ที่สุดของหนังแนวครอบครัวและให้กำลังใจ อีกผลงานมาสเตอร์พีชของ วิลล์ สมิธ ที่แทบจะเข้ากันได้ดีกับบทบาทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว สุดมุ่งมั่นและมองโลกในแง่ดี จากหนังเรื่องThe Pursuit of Happyness ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวดราม่าที่สร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงของ “นาย คริส การ์ดเนอร์” มหาเศรษฐีชาวอเมริกันผิวสี ที่เรียกว่ากว่าเขาจะรวยอย่างทุกวันนี้ได้ จะต้องอาศัยความเพียรพยายามสูงมาก โดยในเรื่องจะเล่าย้อนกลับในช่วงที่ คริส การ์ดเนอร์ กำลังลำบากสุด ๆ เนื่องจากเขาได้นำเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนกับธุรกิจเฟรนไชส์ขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ในตอนนั้นดูเหมือนจะไม่มีบริษัทไหนสนใจจะทำธุรกิจกับเขาเลยสักเจ้า ทำให้สถานะทางการเงินของ คริส การ์ดเนอร์ ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ
จนภรรยาของเขาตัดสินใจทิ้งเขาและลูกชายวัย 5 ขวบไว้ให้เขาเลี้ยงดู และไม่นานสองพ่อลูกก็กลายเป็นคนไร้บ้าน ที่ต้องแอบไปนอนตามที่สถานที่สาธารณะต่าง ๆ แต่ในระหว่างนั้น คริส การ์ดเนอร์ ก็ไม่ได้ละทิ้งความพยายามเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเค้าจะโดนดูถูกหรือโดนหยามเกียรติขนาดไหน แต่สิ่งที่เราจะเห็นได้จากในหนังคือ คริส การ์ดเนอร์ จะกระเตงลูกชายไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ พร้อมกับอีกมือหนึ่งก็หิ้วเจ้าเครื่องสแกนตัวปัญหาไปด้วยตลอด นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้ละความพยายามและไม่เคยย่อท้อกับปัญหาใดๆเลยค่ะ เรียกว่า หากอยู่ในช่วงท้อแท้ของชีวิตและอยากได้รับกำลังใจดีๆ หนังเรื่องนี้ของวิลล์ สมิธ จะทำไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน
Men in Black (1997)
หนังดังภาคต่ออีกเรื่อง ที่แทบจะมีภาพจำของ วิลล์ สมิธ เป็นโลโกของหนังค่ะ กับ MIB ที่ป๋าของเรารับบทนำถึง 3 ภาคติด่อกัน โดยเป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นคอมเมดี้แนวไซไฟที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวนอกโลก โดยในเรื่อง วิลล์ สมิธ จะรับบทเป็นเจ้าหน้าที่ J ชายหนุ่มชุดดำที่ทำงานให้กับองค์กรลับพิทักษ์โลก เขามีหน้าที่คอยควบคุมเหล่าเอเลี่ยนจากต่างดาวให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติ ซึ่งคู่หูของเขาก็คือเจ้าหน้าที่ K ผู้ที่มีนิสัยการทำงานต่างกันสุดขั่ว จากอายุที่ต่างกันทำให้ทั้งสองดูเหมือนจะทำงานร่วมกันไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานทั้งสองก็ร่วมมือกันจัดการกับเหล่าเอเลี่ยนได้เป็นอย่างดี เนื้อเรื่องของภาค 1-3 ก็จะมีปัญหาและอุปสรรคที่ต่างกัน ซึ่งเราจะค่อย ๆ รู้จักตัวละครกันมากขึ้นค่ะ
ซึ่งจุดเด่นของหนังอยู่ที่แม้จะเป็นหนังแนวแนวมนุษย์ต่างดาวแต่ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีความสดใหม่ มีเนื้อเรื่องที่ต่างจากหนังมนุษย์ต่างดาวอื่น ๆ ที่เรียกว่าสนุกสุดเหวี่ยงตั้งแต่ต้นจนจบ และสิ่งที่ดีที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้คือนักแสดงนำสองคนระหว่าง วิลล์ สมิธ และ ทอมมี่ ลี โจนส์ ที่มีความแตกต่างกันมากในเรื่องของอายุ แต่เมื่อพวกเขาทั้งสองเข้าฉากร่วมกันแล้วกลับเป็นผสมผสานกันอย่างลงตัว จนจัดได้ว่า เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่มีภาพจำของ วิลล์ สมิธ ในบทเจ้าหน้าที่ J แบบไม่มีใครมาแทนที่ได้ไปแล้วค่ะ
Suicide Squad (2016)
หนังเรื่องนี้จัดว่า เป็นบทบาทที่เฉียดเข้าไปใกล้จักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ที่สุดของป๋าแกแล้วล่ะค่ะ กับ Suicide Squad โดยเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นหลังการเสียชีวิตของซูเปอร์แมน ทีม Suicide Squad อาชญากรที่สุดของความอันตรายได้รับภารกิจที่มีชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อเข้าช่วยเหลือเป้าหมายจากการควบคุมของ เอนแชนเทรส วิญญาณแม่มดร้าย แต่ระหว่างนั้นก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายหลังการปรากฏตัวของ คะตะนะ และ โจ๊กเกอร์ ที่เข้ามาช่วยเหลือแฟนสาวให้รอดพ้นจากการคุมขัง ขณะเดียวกัน หัวหน้าหน่วยอแมนดา เป้าหมายของภารกิจครั้งนี้กลับถูกลักพาตัวไปอีกครั้งกลุ่ม Suicide Squad จึงต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือเธอให้ปลอดภัยและทำลายวิญญาณแม่มดร้ายให้ได้
สำหรับหนังเรื่องนี้ วิลล์ สมิธ ได้รับบทบาทเป็น เดดช็อต สุดยอดนักแม่นปืนรับจ้างที่ไม่เคยพลาดเป้าเลยสักครั้ง หลายคนมักจะคุ้นเคยกับวิลล์ สมิธในบทบาทนายตำรวจฝีมือดีหรือคุณพ่อนักสู้ ดังนั้นเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นการพลิกบทบาทของวิลล์ สมิธเลยก็ว่าได้แต่ถึงอย่างนั้นวิลล์ก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของเดดช็อตออกมาได้เป็นอย่างดีจนเป็นที่ชื่นชอบของใครหลาย ๆ คน ค่ะ
Aladdin (2019)
และหนังที่เรียกว่า กลับมาปลุกกระแสป๋าวิลล์ให้กลับมาเป็นดาราแนวหน้าอีกครั้ง หลังจากไปเล่นหนังนอกกระแสตกรางวัลซะนาน ก็คือหนังที่สร้างมากจากนิทานอาหรับราตรีในตำนานที่ถูกนำมาเล่าขานอีกครั้งในเวอร์ชัน live action ของ Disney ที่มีความตระการตาและเต็มไปด้วยความสนุกสนานในแบบฉบับของดิสนีย์ สำหรับเวอร์ชันนี้จะยังคงโครงเรื่องเดิมเอาไว้แต่จะเพิ่มสีสันและความเป็น musicals มากขึ้น บวกกับ CGI แบบจัดหนักจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นฉากพรมวิเศษของอะลาดินหรือฉากถูตะเกียงวิเศษต่าง ๆก็สามารถทำออกมาได้เนียนราวกับเวทมนตร์เป็นเรื่องที่มีอยู่จริง นอกจากนี้แต่ละฉากก็ล้วนแล้วแต่มีการทุ่มทุนสร้างและเล่นใหญ่เล่นโตสุด ๆ
ซึ่งสำหรับจินนี่ในเวอร์ชันนี้จะรับบทโดย วิลล์ สมิธ ยักษ์ตัวม่วงจอมกวนโอ๊ยและรักการเล่นใหญ่เป็นชีวิตจิตใจที่เป็นอีกหนึ่งตัวหลักในการดำเนินเรื่อง และวิลล์ สมิธก็สามารถทำออกมาได้ดีสมกับการเป็นนักแสดงมืออาชีพ ซึ่งในเรื่องนี้วิลล์ลงทุนร้อง เล่น เต้น โชว์ ด้วยตัวเองทำให้เนื้อเรื่องมีความไหลลื่นจนทำให้คนดูเผลอโยกหัวตามและอมยิ้มให้กับควาทะเล้นของยักษ์จินนี่ เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่สามารถการันตีทั้งความสามารถในการแสดงและการร้องเพลงของวิลล์ สมิธได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
เรียกว่า แต่ละเรื่องคือ มาสเตอร์พีชของคอหนังที่ห้ามพลาดเลยค่ะ ซึ่งหากสาวๆคนไหน อยากลองเสพผลงานใหม่ๆในปีนี้ของหนุ่มวิลล์ สมิธ ต้องอดใจรอกันหน่อยนะคะ เพราะคาดว่าหนังฟอร์มยักษ์ที่ป๋าแกลงทุนเป็นโปรดิวเซอร์และแสดงเอง คงออกฉายประมาณปลายปีหน้า แว่วๆว่าเป็นเรื่องราวของทาสผิวสี ที่แค่นี้ก็ว้าวแล้ว เชื่อเลยว่า หากปล่อยออกมาคงเป็นอีกผลงานสร้างชื่อของพระเอกคนดังคนนี้แน่นอนค่ะ